ข้อบังคับสมาคมฯ
ข้อบังคับ
ของ
สมาคมผู้นำเข้าและผู้ส่งออกระดับมาตรฐานเออีโอ
สมาคมการค้านี้จัดตั้งตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 และอยู่ในการควบคุมดูแลของสำนักงานทะเบียน สมาคมการค้าประจำจังหวัดกรุงเทพมหานคร
หมวดที่ 1 : บทความทั่วไป
ข้อ 1. ชื่อของสมาคมการค้า สมาคมการค้านี้มีชื่อว่า สมาคมผู้นำเข้าและผู้ส่งออกสินค้ามาตรฐานเออีโอ
เขียนชื่อเป็นอักษรภาษาอังกฤษว่า “ THAI AEO IMPORTER & EXPORTER ASSOCIATION”
คำว่า “สมาคม” ต่อไปในข้อบังคับนี้ให้หมายความถึง สมาคมผู้นำเข้าและผู้ส่งออกระดับมาตรฐานเออีโอ
ข้อ 2. สำนักงานของสมาคม ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 127/36 ปัญจธานีทาวเวอร์ ชั้น 31 ถ.นนทรี แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ 10120
ข้อ 3. ตราของสมาคม
หมวดที่ 2 : วัตถุประสงค์
ข้อ 4. สมาคมนี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(1) ส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจประเภทที่เกี่ยวกับกิจการการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ
(2)สนับสนุนและช่วยเหลือสมาชิกแก้ไขอุปสรรคข้อขัดข้องต่างๆ รวมทั้งเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์นอกเหนือจากที่กรมศุลกากรกำหนด เป็นตัวแทนเจรจาทำความตกลงและติดต่อประสานงานระหว่างสมาชิกหน่วยงานของรัฐและองค์กรภาคเอกชนอื่นๆเพื่อประโยชน์ร่วมกันในการประกอบวิสาหกิจของสมาชิกตลอดจนสอดส่องติดตามความเคลื่อนไหวของสภาวะเศรษฐกิจและเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบธุรกิจ
(3) ประสานความสามัคคีและแลกเปลี่ยนทัศนะความรู้ซึ่งกันและกันในทางวิชาการ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางการค้าและทางราชการตลอดจนทำการวิจัยเกี่ยวกับวิสาหกิจนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ
(4) เป็นองค์กรกลางในการรวบรวมสถิติ ข้อคิดเห็น หรือเสนอแนะปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศ เพื่อนำไปแก้ไขให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว และคล่องตัวในการประกอบธุรกิจ
(5) ให้การสนับสนุนนโยบายของรัฐในการส่งเสริมการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศเพื่อให้นโยบายที่เป็น ประโยชน์ต่อส่วนรวมดำเนินไปด้วยดี และบรรลุวัตถุประสงค์ต่อสมาชิก
(6) ทำความตกลงหรือวางระเบียบให้สมาชิกปฏิบัติ หรืองดเว้นการปฏิบัติ เพื่อให้การประกอบวิสาหกิจประเภทที่อยู่ ในวัตถุที่ประสงค์ได้ดำเนินไปด้วย ความเรียบร้อย
(7)ประนีประนอมข้อพิพาทระหว่างสมาชิก หรือระหว่างสมาชิกกับบุคคลภายนอกหรือระหว่างสมาชิกกับหน่วยงานของรัฐในการประกอบวิสาหกิจ
(8) สมาคมการค้านี้ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะดำเนินการในทางการเมือง แต่อาจสามารถเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรใด องค์กรหนึ่ง อาทิ สมาพันธ์ สมาคม ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมการนำเข้าและ ส่งออกสินค้าระหว่างประเทศโดยจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งและความก้าวหน้าของสมาคม
(9) ไม่มีวัตถุประสงค์ในการจัดโต๊ะบิลเลียดหรือโต๊ะสนุ๊กเกอร์
หมวดที่ 3 : สมาชิกและสมาชิกภาพ
ข้อ 5. ประเภทสมาชิก สมาชิกของสมาคมการค้าแบ่งออกเป็น 3 ประเภท และมีคุณสมบัติดังนี้ คือ
(1) สมาชิกสามัญ ได้แก่ นิติบุคคลที่ประกอบวิสาหกิจประเภทเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับอนุมัติเป็น ผู้นำของเข้า ผู้ส่งของออกระดับมาตรฐานเออีโอ จากกรมศุลกากร
(2) สมาชิกวิสามัญ ได้แก่ นิติบุคคลที่ประกอบวิสาหกิจประเภทเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย
(3) สมาชิกกิตติมศักดิ์ ได้แก่ บุคคลซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ หรือเป็นผู้ที่มีอุปการะคุณ แก่สมาคมซึ่งคณะกรรมการมีมติให้เข้าเป็น สมาชิก และผู้นั้นตอบรับคำเชิญ
ข้อ 6. คุณสมบัติของสมาชิก สมาชิกของสมาคมการค้านอกจากคุณสมบัติตามข้อ 5 แล้ว ยังต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ คือ
(1) ในกรณีที่เป็นบุคคลธรรมดา
1. เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
2. ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย บุคคลไร้ความสามารถ หรือบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ
3.ไม่เคยเป็นบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลให้ลงโทษจำคุกเว้นแต่ความผิดลหุโทษหรือความผิดที่อัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือความผิดซึ่งกระทำโดยประมาท
4. ไม่เป็นโรคอันพึงรังเกียจแก่สังคม
5. เป็นผู้ที่มีฐานะมั่นคงพอสมควร
6. เป็นผู้ที่มีความประพฤติเรียบร้อย
(2) ในกรณีที่เป็นนิติบุคคล
1. ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
2. มีฐานะมั่นคงพอสมควร
ให้นำความในข้อ6 (1) มาใช้บังคับแก่คุณสมบัติของผู้แทนนิติบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจกระทำการ
แทน นิติบุคคลที่เป็นสมาชิกตามข้อ 10 ด้วย
ข้อ 7. การสมัครเข้าเป็นสมาชิก ผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกสามัญหรือสมาชิกวิสามัญของสมาคม
จะต้องยื่นใบสมัครตามแบบพิมพ์ที่สมาคมได้กำหนดไว้ต่อคณะกรรมการสมาคมเพื่อพิจารณา การสมัครเป็นสมาชิก
วิสามัญของสมาคม จะต้องมีสมาชิกสามัญอย่างน้อย 2 รายลงชื่อรับรอง
ข้อ 8. การพิจารณาคำขอสมัครเข้าเป็นสมาชิก ให้เลขาธิการหรือกรรมการผู้ทำหน้าที่แทนเลขาธิการนำใบสมัครเสนอต่อ
ที่ประชุมคณะกรรมการในคราวต่อไปหลังจากที่ได้รับใบสมัคร เมื่อคณะกรรมการ
มีมติให้รับหรือไม่รับผู้ใดเข้าเป็นสมาชิก ให้เลขาธิการมีหนังสือแจ้งให้ผู้นั้นทราบภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่ลงมติ
ข้อ 9. วันเริ่มสมาชิกภาพ สมาชิกภาพเริ่มตั้งแต่วันที่ผู้สมัครได้ชำระค่าลงทะเบียนเข้าเป็นสมาชิก และค่าบำรุง ประจำปีของสมาคมเรียบร้อยแล้ว
ข้อ 10. สมาชิกที่เป็นนิติบุคคล ต้องแต่งตั้งผู้แทนซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลนั้นได้ไม่เกิน สองคน แต่มีสิทธิออกเสียงได้เพียงหนึ่งเสียง เพื่อปฏิบัติการในหน้าที่ และใช้สิทธิแทนนิติบุคคลนั้นได้เพียงเท่าที่ สมาชิกประเภทเดียวกันนั้นจะพึงมีโดยทำเป็นลายลักษณ์อักษร ในการนี้ ผู้แทนจะมอบหมายให้บุคคลอื่นกระทำการ แทน หรือแต่งตั้งตัวแทนช่วงไม่ได้ แต่สามารถส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมได้ บุคคลเดียวกัน จะเป็นผู้แทนที่มีอำนาจกระทำการแทนสมาชิกเกิน 1 รายไม่ได้
ข้อ 11. การขาดจากสมาชิกภาพ สมาชิกภาพย่อมสิ้นสุดลงในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ตายหรือสิ้นสภาพนิติบุคคล
(2) ขาดคุณสมบัติตามข้อ 5
(3) ลาออก โดยยื่นหนังสือลาออกต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการเห็นชอบ
(4) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย
(5) ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ
(6) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก เว้นแต่เป็นความผิดลหุโทษหรือความผิดที่อัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้
กระทำโดยประมาท
(7) คณะกรรมการลงมติให้ลบชื่อออกจากทะเบียนสมาชิก โดยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวน กรรมการทั้งหมด ด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด
ดังต่อไปนี้
1. กระทำการใด ๆ ที่ทำให้สมาคมเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยเจตนา
2. กระทำการละเมิดข้อบังคับโดยเจตนา
3.ไม่ชำระเงินค่าบำรุงสมาคมเกินกว่า 1 ปี และมีจดหมายลงทะเบียนเตือนให้สมาชิกมาชำระเกิน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ออกจดหมาย
ข้อ 12. ทะเบียนสมาชิก ให้นายทะเบียนจัดทำทะเบียนสมาชิกเก็บไว้ ณ สำนักงานของสมาคมโดยอย่างน้อย ให้มีรายการ ดังต่อไปนี้
(1) ชื่อและสัญชาติของสมาชิก
(2) ชื่อที่ใช้ในการประกอบวิสาหกิจและประเภทของวิสาหกิจ
(3) ที่ตั้งสำนักงานของสมาชิก
(4) วันที่เข้าเป็นสมาชิก
หมวดที่ 4 : สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
ข้อ 13. สิทธิของสมาชิก
(1) ได้รับความช่วยเหลือและการสงเคราะห์ ในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการอันอยู่ในวัตถุที่ประสงค์ของสมาคมจากสมาคมเท่าที่จะอำนวยได้
(2) เสนอความคิดเห็นหรือให้คำแนะนำต่อสมาคม หรือคณะกรรมการในเรื่องใด ๆ อันอยู่ในวัตถุที่ประสงค์ของสมาคม เพื่อนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของสมาคม
(3) ขอตรวจสอบกิจการและทรัพย์สินของสมาคมได้ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อเลขาธิการหรือกรรมการผู้ทำหน้าที่แทนเลขาธิการ
(4) เข้าร่วมประชุม อภิปราย แสดงความคิดเห็น ซักถามกรรมการ เสนอญัตติในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือในการประชุมใหญ่วิสามัญ
(5) มีสิทธิประดับเครื่องหมายของสมาคม
(6) สมาชิกสามัญเท่านั้น มีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือในที่ประชุมใหญ่วิสามัญ หรือการออกเสียงเลือกตั้งกรรมการ
ข้อ 14. หน้าที่ของสมาชิก
(1) ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับระเบียบ คำสั่งของสมาคม มติของที่ประชุมใหญ่ และมติของคณะกรรมการของสมาคมโดยเคร่งครัด
(2) ดำรงรักษาเกียรติ และผลประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียของสมาคม
(3) ส่งเสริมและสนับสนุนกิจการของสมาคมให้เจริญรุ่งเรืองและมีความก้าวหน้าอยู่เสมอ
(4) ชำระค่าบำรุงให้แก่สมาคมตามกำหนด
(5) สมาชิกผู้ใดเปลี่ยนชื่อ นามสกุล สัญชาติ ย้ายที่อยู่ ย้ายที่ตั้งสำนักงาน เปลี่ยนประเภทวิสาหกิจ เลิกประกอบวิสาหกิจ หรือเปลี่ยนผู้แทนนิติบุคคล จะต้องแจ้งให้เลขาธิการสมาคมทราบเป็นหนังสือ ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่เปลี่ยนแปลง
หมวดที่ 5 : ค่าลงทะเบียนเข้าเป็นสมาชิก และค่าบำรุงสมาคม
ข้อ 15. ค่าลงทะเบียนเข้าเป็นสมาชิกและค่าบำรุงสมาคม
(1) สมาชิกสามัญ จะต้องชำระค่าลงทะเบียน 2,000 บาท (สองพันบาทถ้วน)
ค่าบำรุงสมาคมเป็นรายปี ๆ ละ 7,000 บาท (เจ็ดบาทถ้วน)
(2) สมาชิกวิสามัญ จะต้องชำระค่าลงทะเบียน 2,000 บาท (สองพันบาทถ้วน) และ
ค่าบำรุงสมาคมเป็นรายปี ๆ ละ 5,000 บาท (ห้าพันบาทถ้วน)
(3) สมาชิกกิตติมศักดิ์ ไม่ต้องชำระค่าลงทะเบียน หรือค่าบำรุงใดทั้งสิ้น
ข้อ 16. ค่าบำรุงพิเศษ สมาคมอาจเรียกเก็บค่าบำรุงพิเศษจำนวนเท่าใดจากสมาชิกได้เป็นครั้งคราว โดยทีประชุมใหญ่ลงมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสามัญที่มาประชุมทั้งหมด
หมวดที่ 6 : คณะกรรมการของสมาคม
ข้อ 17. การเลือกคณะกรรมการของสมาคม ให้มีคณะกรรมการขึ้นครึ่งหนึ่งเป็นผู้บริหารงานให้เป็นไปตามวัตถุที่ประสงค์ของสมาคมและเป็นผู้แทนสมาคมในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก ประกอบด้วยสมาชิกสามัญซึ่งได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี มีจำนวนไม่น้อยกว่า 15 คน และไม่เกิน 30 คน ทั้งนี้ต้องมีตัวแทนจากสมาชิกสามัญของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างน้อย 1 คน แต่ไม่เกิน 5 คน ตามสัดส่วนของสมาชิกในแต่ละกลุ่ม
การเลือกตั้งกรรมการให้กระทำโดยวิธี ให้สมาชิกสามัญเสนอชื่อของสมาชิกสามัญ ซึ่งตน ประสงค์จะให้เข้ารับการเลือกตั้งเป็นกรรมการต่อที่ประชุมใหญ่ แล้วให้ที่ประชุมใหญ่ลงมติเลือกตั้ง ให้ผู้ได้รับคะแนนสูงตามลำดับได้เป็นกรรมการเท่าหรือไม่น้อยกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในวรรคแรก ถ้ามีผู้ได้คะแนนเท่ากันในลำดับสุดท้าย ให้ที่ประชุมใหญ่ลงมติใหม่เฉพาะผู้ที่ได้คะแนนเท่ากัน หากปรากฏว่าได้คะแนนเท่ากันอีกให้ใช้วิธีจับสลาก
นายกสมาคมอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 2ปี
คณะกรรมการของสมาคม อยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 2 ปี
ให้คณะกรรมการของสมาคมเลือกตั้งกันเองเพื่อดำรงตำแหน่งนายกสมาคม 1 คน อุปนายกสมาคมอย่างน้อย 1 คน เลขาธิการสมาคม เหรัญญิก และนายทะเบียนสมาคม ตำแหน่งละ 1 คน
ภายใต้ข้อบังคับแห่งพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาตร 19 หรือ 33 กรรมการที่พ้นจากสภาพกรรมการไปแล้ว อาจได้รับเลือกให้เป็นกรรมการอีกได้
ข้อ 18. ให้คณะกรรมการแต่งตั้งอนุกรรมการเฉพาะกิจ จากสมาชิกของสมาคม สำหรับดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามวัตถุประสงค์ของสมาคม
ข้อ 19. การพ้นจากสภาพกรรมการ กรรมการของสมาคมย่อมพ้นจากสภาพกรรมการ ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) การกำหนดออกตามวาระ
(2) ลาออก โดยคณะกรรมการของสมาคมได้ลงมติอนุมัติแล้ว
(3) พ้นจากการเป็นผู้แทนของสมาชิกสามัญ ซึ่งเป็นนิติบุคคล
(4) ขาดจากสมาชิกภาพ ตามข้อ 11
(5) ที่ประชุมใหญ่มีมติให้ถอดถอนออกจากการเป็นกรรมการโดยให้มีเสียงกึ่งหนึ่ง
(6) เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สั่งให้ออกตามมาตรา33 แห่งพระราชบัญญัติสมาคมการค้าพ.ศ. 2509
(7) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509
ข้อ 20. กรณีที่กรรมการพ้นจากสภาพกรรมการก่อนครบกำหนดออกตามวาระ ในกรณีที่มีกรรมการพ้นจากสภาพกรรมการก่อนครบกำหนดออกตามวาระ ให้สมาชิกในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น ๆ เลือกผู้แทนกลุ่มขึ้นมาแทนจนครบวาระ และคณะกรรมการของสมาคมแต่งตั้งเป็นกรรมการแทนได้ แต่กรรมการที่ได้รับแต่งตั้งแทนนี้ให้เป็นกรรมการอยู่ได้ตามวาระของกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งไป ถ้ากรณีเวลาที่เหลืออยู่ก่อนครบกำหนดออกตามวาระนั้นน้อยกว่า 90 วัน ไม่ต้องทำการเลือกตั้งใหม่
ข้อ 21. องค์ประชุมในการประชุมของคณะกรรมการสมาคม การประชุมของคณะกรรมการของสมาคม จะต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะนับว่าครบองค์ประชุม
ข้อ 22. มติของที่ประชุมคณะกรรมการของสมาคม นอกจากที่กล่าวไว้เป็นอย่างอื่นในข้อบังคับนี้ให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมากเป็นมติของที่ประชุม ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานที่ประชุมออกเสียงชี้ขาด
ข้อ 23. ประธานในที่ประชุม ให้นายกสมาคมเป็นประธานในที่ประชุม ถ้านายกสมาคมไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้อุปนายกสมาคมคนใดคนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน ถ้าทั้งนายกและอุปนายกไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม เฉพาะในการประชุมคราวนั้น
ข้อ 24. การประชุมคณะกรรมการของสมาคม ให้มีการประชุมคณะกรรมการของสมาคม อย่างน้อย 3 เดือนต่อครั้ง อนึ่งในกรณีจำเป็น นายกสมาคมหรือกรรมการรวมกันไม่น้อยกว่า 5 คน จะเรียกประชุมพิเศษขึ้นก็ได้
ข้อ 25. การรับมอบงานของคณะกรรมการของสมาคม เมื่อมีการเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่แต่ละครั้ง ในกรณีครบวาระ หรือคณะกรรมการชุดเดิมลาออกทั้งคณะ ให้คณะกรรมการของสมาคมชุดใหม่ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ารับมอบงานจากคณะกรรมการของสมาคมชุดเดิม ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันได้รับเลือกตั้ง และการส่งมอบรับมอบนี้จะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษร
การเข้ารับมอบงานของคณะกรรมการชุดใหม่นี้ จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้ยื่นจดทะเบียนเป็นคณะกรรมการของสมาคม ต่อนายทะเบียนสมาคมการค้าประจำกรุงเทพมหานครแล้ว และหากว่ายังไม่มีการจดทะเบียนเป็นคณะกรรมการชุดใหม่ ให้ถือว่าคณะกรรมการชุดเดิม เป็นคณะกรรมการของสมาคมอยู่ตามเดิมตราบเท่าเวลาที่เหลืออยู่ ถ้ากรณีเวลาที่เหลืออยู่นั้นน้อยกว่า 90 วัน ไม่ต้องทำการเลือกตั้งใหม่
ข้อ 26. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสมาคม ให้คณะกรรมการของสมาคมมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) จัดดำเนินกิจการและทรัพย์สินของสมาคม ให้เป็นไปตามข้อบังคับและมติของที่ประชุม
(2) เลือกตั้งกรรมการให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในคณะกรรมการของสมาคม
(3) วางโครงสร้างและจัดระเบียบในการปฏิบัติงานของสมาคม
(4) ว่าจ้าง แต่งตั้ง และถอดถอนที่ปรึกษาของคณะกรรมการ อนุกรรมการ เจ้าหน้าที่และพนักงานทั้งปวง เพื่อให้การดำเนินงานของสมาคมเป็นไปโดยเรียบร้อย โดยอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการสมาคม ที่ปรึกษาของคณะกรรมการ และอนุกรรมการ
(5) นายกสมาคมมีอำนาจเชิญผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาเป็นที่ปรึกษาของสมาคมได้ โดยแจ้งให้คณะกรรมการของสมาคมรับทราบ มีมติเห็นชอบ
ข้อ 27. อำนาจหน้าที่กรรมการของสมาคมในตำแหน่งต่างๆ อำนาจหน้าที่ของกรรมการของสมาคมในตำแหน่งต่างๆ มีดังนี้
(1) นายกสมาคม มีหน้าที่ดำเนินกิจการของสมาคมให้เป็นไปตามข้อบังคับ และระเบียบการในการปฏิบัติงานของสมาคม เป็นผู้แทนของสมาคมในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก และเป็นประธานในที่ประชุมของคณะกรรมการสมาคม ตลอดจนในที่ประชุมใหญ่ของสมาชิก
(2) อุปนายกสมาคม มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือนายกสมาคมในกิจการทั้งปวง อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายกสมาคม และเป็นผู้ทำการแทนนายกสมาคมเมื่อนายกสมาคมไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้
(3) เลขาธิการสมาคม มีหน้าที่ทำการโต้ตอบหนังสือ เก็บรักษาเอกสารต่าง ๆ ของสมาคม เป็นเลขานุการในที่ประชุมคณะกรรมการของสมาคม และที่ประชุมใหญ่ ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่คณะกรรมการของสมาคมจะได้มอบหมาย
(4) เหรัญญิกสมาคม มีหน้าที่รักษา รับและจ่ายเงินของสมาคม ทำบัญชีการเงิน เก็บรักษา และจ่ายพัสดุของสมาคม ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการของสมาคมมอบหมาย
(5) นายทะเบียนสมาคม มีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดทำทะเบียนสมาชิก และทะเบียนต่าง ๆ อันมิใช่ทะเบียนเกี่ยวกับการเงินของสมาคม ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการของสมาคมจะได้มอบหมาย
หมวดที่ 7 : การประชุมใหญ่
ข้อ 28. การประชุมใหญ่ การประชุมใหญ่ให้หมายถึง การประชุมสมาชิกของสมาคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
(1) การประชุมใหญ่สามัญประจำปี คือ การประชุมใหญ่ที่จะต้องให้มีขึ้นครั้งหนึ่ง ทุกระยะเวลา 12 เดือน
(2) การประชุมใหญ่วิสามัญ คือ การประชุมใหญ่ครั้งอื่น ๆ บรรดามีนอกจากการประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือการประชุมสมาชิกประจำเดือน
ข้อ 29. กำหนดการประชุมใหญ่ กำหนดการประชุมใหญ่มีดังนี้
(1) ให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ภายในกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่สิ้นปีการบัญชีของสมาคมเป็นประจำทุก ๆ ปี
(2) ถ้ามีเหตุใดเหตุหนึ่ง ซึ่งคณะกรรมการสมาคมมีมติเห็นสมควร หรือสมาชิกมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด แสดงความจำนงที่จะให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อเลขาธิการของสมาคม หรือกรรมการคนใดคนหนึ่งในกรณีที่เลขาธิการสมาคมไม่อยู่ ให้คณะกรรมการของสมาคมนัดประชุมใหญ่วิสามัญภายในกำหนดเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือให้นายกสมาคมออกหนังสือบอกกล่าว โดยต้องระบุข้อความแจ้งเหตุเพื่อการใดที่จะให้มีการ ประชุมใหญ่วิสามัญนี้ด้วย
ข้อ 30. การส่งหนังสือบอกกล่าวนัดประชุม คณะกรรมการของสมาคม จะต้องส่งหนังสือบอกกล่าวถึงวัน เวลา สถานที่ และระเบียบวาระการประชุมใหญ่ ไปให้สมาชิกทุกคนได้ทราบ โดยส่งจดหมายไปรษณีย์ลงทะเบียน ณ ที่อยู่ของสมาชิกที่ปรากฏอยู่ในทะเบียน และ/หรือ การตอบรับทางอิเล็คทรอนิค/ โทรสาร หรือส่งให้ถึงตัวสมาชิก ก่อนกำหนดการประชุมใหญ่ไม่น้อยกว่า 7 วัน
ภายใต้ข้อบังคับของความในวรรคแรก ในกรณีที่เป็นการประชุมใหญ่สามัญประจำปีจะต้องแนบสำเนารายงานประจำปี และสำเนางบดุลซึ่งผู้สอบบัญชีได้ตรวจสอบแล้วไปด้วย
ข้อ 31. องค์ประชุมในการประชุมใหญ่ ในการประชุมใหญ่ของสมาคม จะต้องมีสมาชิกสามัญมาประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสามัญทั้งหมด จึงจะถือว่าเป็นองค์ประชุม
ข้อ 32. กรณีประชุมใหญ่ครั้งแรกสมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุม กรณีที่นัดประชุมใหญ่ครั้งแรกสมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุม การประชุมใหญ่ที่ได้เรียกนัดการประชุมในวันและเวลาใด หากล่วงพ้นกำหนดเวลานัดไปแล้ว 1 ชั่วโมง ยังมีสมาชิกมาประชุมไม่ครบองค์ประชุม ถ้าการประชุมใหญ่คราวนั้น ได้เรียกนัดเฉพาะสมาชิกร้องขอ ให้เลื่อนการประชุมคราวนั้นไป และให้ทำการกล่าวนัดประชุม วัน เวลา และสถานที่ประชุมใหญ่นี้อีกครั้งหนึ่ง ภายในกำหนด 15 วันนับตั้งแต่วันประชุมใหญ่คราวแรก ในการประชุมใหญ่คราวหลังนี้จะมีสมาชิกมามากน้อยเพียงใด ก็ให้ถือว่าเป็นองค์ประชุม
ข้อ 33. ประธานในที่ประชุม ให้นายกสมาคมเป็นประธานที่ประชุม หากนายกสมาคมไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ จะมอบหมายให้อุปนายกคนใดคนหนึ่งตามข้อ 23 หรือกรรมการคนใดคนหนึ่งซึ่งที่ประชุมเลือกเป็นประธานในที่ประชุมใหญ่เฉพาะการประชุมในคราวนั้น
ข้อ 34. วิธีออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมใหญ่ สมาชิกสามัญเท่านั้นที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน และสมาชิกสามัญรายหนึ่ง ๆ มีคะแนนเสียงหนึ่งเสียง
การออกเสียงในที่ประชุมใหญ่ ให้ถือปฏิบัติเป็น 2 กรณี คือ
(1) โดยวิธีเปิดเผย ให้ใช้วิธีชูมือ
(2) โดยวิธีลงคะแนนลับ ให้ใช้วิธีเขียนบัตรลงคะแนน และจะกระทำได้เมื่อคณะกรรมการของสมาคม หรือสมาชิกสามัญไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสามัญที่มาประชุมร้องขอ
ข้อ 35. มติของที่ประชุมใหญ่ นอกจากที่ได้กล่าวไว้เป็นอย่างอื่นในข้อบังคับให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมากเป็นมติของที่ประชุม ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด
ข้อ 36. กิจการอันพึงกระทำในการประชุมใหญ่ประจำปี กิจการอันพึงกระทำในการประชุมใหญ่ประจำปี มีดังนี้
(1) รับรองรายงานการประชุมใหญ่คราวก่อน
(2) พิจารณารายงานประจำปี แสดงผลการดำเนินการสมาคมที่ผ่านมาในรอบปี
(3) พิจารณาอนุมัติงบดุล
(4) เลือกตั้งคณะกรรมการ (ในปีที่ครบกำหนด)
(5) เลือกตั้งที่ปรึกษากฎหมาย ผู้สอบบัญชีประจำปี และกำหนดค่าตอบแทน
(6) เรื่องอื่น ๆ (ถ้ามี)
หมวดที่ 8 : การเงินและการบัญชีของสมาคม
ข้อ 37. การจัดทำงบดุล ให้คณะกรรมการของสมาคมจัดทำงบดุลปีละครึ่งครั้งแล้วส่งให้ผู้ตรวจสอบบัญชีอย่างช้าไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เพื่อให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบให้แล้วเสร็จก่อนวันประชุมใหญ่ประจำปี ไม่น้อยกว่า 30 วัน
ข้อ 38. ปีการบัญชี ให้ถือเอาวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันสิ้นปีการบัญชีของสมาคม
ข้อ 39. อำนาจของผู้สอบบัญชี ผู้สอบบัญชีซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งมีอำนาจเข้าตรวจสอบสมุดบัญชี และบรรดาเอกสารเกี่ยวกับการเงินของสมาคมและมีสิทธิสอบถามกรรมการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสมาคมทุกคนที่มี
ส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชี และเอกสารดังกล่าว ในการนี้กรรมการและเจ้าหน้าที่จะต้องช่วยเหลือและให้ความสะดวกทุกประการเพื่อการตรวจสอบเช่นว่านั้น
ข้อ 40. การเก็บรักษาสมุดบัญชีและเอกสารการเงิน สมุดบัญชีและเอกสารการเงินของสมาคม ให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของเหรัญญิกสมาคม
ข้อ 41. การเงินของสมาคม เงินสดของสมาคมจะต้องนำฝากไว้ ณ ธนาคารพาณิชย์แห่งใดแห่งหนึ่งในนามของสมาคมโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
ให้มีเงินทดรองจ่ายเกี่ยวกับกิจการของสมาคมไม่เกินวงเงิน 5,000 บาท (ห้าพันบาทถ้วน) ในการนี้เหรัญญิกสมาคมเป็นผู้รับผิดชอบและเก็บรักษาตัวเงิน
การถอนเงินจากธนาคาร ให้อยู่ในอำนาจของนายกสมาคม หรืออุปนายกสมาคม หรือเลขาธิการ โดยมติของคณะกรรมการของสมาคมลงนามร่วมกับเหรัญญิกสมาคม
ข้อ 42. การจ่ายเงินของสมาคม การจ่ายเงินของสมาคม ในการจ่ายเงินของสมาคมครั้งละเกินกว่า 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ให้กระทำโดยมติจากที่ประชุมคณะกรรมการของสมาคมทุกครั้งไป
ให้นายกสมาคม หรืออุปนายกสมาคม หรือเลขาธิการสมาคมคนใดคนหนึ่ง ลงชื่อร่วมกับเหรัญญิกสมาคม มีอำนาจสั่งจ่ายเงินเกี่ยวกับกิจการของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน)
ข้อ 43. เงินทุนพิเศษ สมาคมอาจหาเงินทุนพิเศษเพื่อมาดำเนินกิจการและส่งเสริมความก้าวหน้าของสมาคมได้ โดยการขอรับการสนับสนุนจากบุคคลภายนอกและสมาชิกร่วมกันบริจาคหรือกระทำการอื่นใดตามที่คณะกรรมการเห็นสมควรและไม่ขัดต่อกฎหมาย
หมวดที่ 9 : การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับการ เลิกสมาคม และการชำระบัญชี
ข้อ 44. การแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัดทอนหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ ข้อบังคับนี้จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือเพิ่มเติมได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่ ซึ่งมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มาประชุม
ข้อ 45. การเลิกสมาคม สมาคมนี้อาจเลิกได้ด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดดังต่อไปนี้
(1) เมื่อที่ประชุมใหญ่ลงมติให้เลิก ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกสามัญ ที่มาประชุมทั้งหมด
(2) เมื่อล้มละลาย
(3) เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สั่งให้ยกเลิกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509
ข้อ 46. การชำระบัญชี เมื่อสมาคมต้องเลิกไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งดังกล่าวตามข้อ 45 การชำระบัญชีของสมาคมนี้ ให้นำบทบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 มาบังคับใช้
- ในกรณีที่สมาคมต้องเลิกไปตามข้อ45(1)ให้ที่ประชุมใหญ่คราวนั้นลงมติเลือกตั้งกำหนดผู้ชำระบัญชีเสียด้วยและหากต้องเลิกไปตามข้อ45(3)ให้กรรมการทุกคนในคณะกรรมการของสมาคมชุดสุดท้าย ที่ได้ จดทะเบียนกรรมการของสมาคมต่อนายทะเบียนสมาคมการค้าประจำกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ชำระบัญชี
- หากมีทรัพย์สินของสมาคมเหลือจากการชำระบัญชี ให้ยกให้แก่นิติบุคคลในประเทศไทยที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกุศลสาธารณะแห่งหนึ่งแห่งใด หรือหลายแห่งตามมติของที่ประชุมใหญ่
หมวดที่ 10 : บทเฉพาะกาล
ข้อ 47. เมื่อนายทะเบียนสมาคมการค้าประจำกรุงเทพมหานครได้อนุญาตให้จัดตั้งเป็นสมาคมการค้าแล้ว ให้ผู้ริเริ่มก่อการจัดตั้งทั้ง 3 คน ทำหน้าที่คณะกรรมการของสมาคมชั่วคราวจนกว่าจะได้มีการเลือกตั้งกรรมการของสมาคมตามข้อบังคับนี้ ซึ่งจะต้องจัดให้มีขึ้นภายในกำหนดเวลา 120 วันนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็นสมาคมการค้าแล้ว
ข้อ 48. เพื่อประโยชน์แห่งความในข้อบังคับ ข้อ 8 ให้ผู้ริเริ่มก่อการจัดตั้งทั้ง 3 คน ทำหน้าที่เป็นสมาชิกสามัญ
ข้อ 49. ให้ใช้ข้อบังคับนี้ตั้งแต่วันที่นายทะเบียนสมาคมการค้าประจำจังหวัดกรุงเทพมหานคร อนุญาตให้จัดตั้งเป็นสมาคมการค้าเป็นต้นไป
ข้อ 50. สมาชิกสามัญที่ได้ชำระค่าบำรุงสมาคมแล้ว ให้เป็นสมาชิกสมาคมผู้นำเข้าและผู้ส่งออกระดับมาตรฐานเออีโอ ประเภทสามัญต่อไปได้ โดยไม่ต้องดำเนินการยื่นสมัครเป็นสมาชิกใหม่
ข้อ 51. สมาชิกวิสามัญที่ได้ชำระค่าบำรุงสมาคมแล้ว ให้เป็นสมาชิกสมาคมผู้นำเข้าและผู้ส่งออกระดับมาตรฐานเออีโอ ประเภทวิสามัญต่อไปได้ โดยไม่ต้องดำเนินการยื่นสมัครเป็นสมาชิกใหม่